วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เรื่องที่ 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย

เรื่องที่ 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่องที่ 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย

เรื่องที่ 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย
1. ภูมิปัญญาไทย
ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อใช้แก้ปัญญาและพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัยภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้าน แบ่งออกเป็น 9 ด้าน ได้แก่
1.1  ด้านเกษตรกรรม  ได้แก่  ความสามารถในการผสมผสานองคืความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งสามารถพึ่งพาตนเองได้ในสภาวการณ์ต่าง เช่น การทำเกษตรแบบผสมผสาน
1.2  ด้านอุตสาหกรรม  การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปปลปลิตเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย และประหยัด อันเป็นกระบานการให้ชุมชนท้องถิ่นพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ เช่นการทำเครื่องเรือนจากไม้ การทอผ้า ทอเสื่อ การทำเครื่องจักสาน
1.3  ด้านการแพทย์  ได้แก่ ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชนโดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตันเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น ยาจากสมุนไพรทีอยู่หลากหลาย อาทิ การใช้ใบกระเพราแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ การนวดแผนโบราณและการประคบที่ใช้สมุนไพรประกอบการนวด การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน
 
การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย

1.  ศึกษา  ค้นคว้า  และการวิจัยวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งที่มีการรวบรวมไว้แล้วและยังไม่ได้ศึกษา  เพื่อทราบความหมาย และความสำคัญของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นมรดกของไทยอย่างถ่องแท้   ซึ่งความรู้ดังกล่าวถือเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต  เพื่อให้เห็นคุณค่า  ทำให้เกิดการยอมรับ  และนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ต่อไป
2.  ส่งเสริมให้ทุกคนเห็นคุณค่า  ร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติและของท้องถิ่น เพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจแก่ประชาชนในการปรับเปลี่ยนและตอบสนองกระแสวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างเหมาะสม
    3. รณรงค์ให้ประชาชนและภาคเอกชน ตระหนักในความสำคัญ ของวัฒนธรรม ว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้การรับผิดชอบร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน  ประสานงานการบริการความรู้  วิชาการ และทุนทรัพย์สำหรับจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม
 4.  ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยการใช้ศิลปะวัฒนธรรมที่เป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน
5. สร้างทัศนคติ  ความรู้  และความเข้าใจว่าทุกคนมีหน้าที่เสริมสร้าง  ฟื้นฟู  และการดูแลรักษา สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่เป็นสมบัติของชาติ   และมีผลโดยตรงของความเป็นอยู่ของทุกคน
6.  จัดทำระบบเครื่อข่ายสารสนเทศทางด้านวัฒนธรรมเพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ  สามารถเลือกสรร  ตัดสินใจ  และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตทั้งนี้สื่อมวลชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้นด้วย

 การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
   
1. การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาของไทยในด้านต่างๆ ของท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค และประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิปัญญาที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น มุ่งศึกษาให้รู้ความเป็นมาในอดีต และสภาพการณ์ในปัจจุบัน
2. การอนุรักษ์ โดยการปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจิตสำนึกของความเป็นคนท้องถิ่นนั้นๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น รวมทั้งสนับสนุนให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้น เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของชุมชน อันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย
 3. การฟื้นฟู โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาที่กำลังสูญหาย หรือที่สูญหายไปแล้วมาทำให้มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม
 4. การพัฒนา ควรริเริ่มสร้างสรรค์และปรับปรุงภูมิปัญญาให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นพื้นฐานในการรวมกลุ่มการพัฒนาอาชีพควรนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อต่อยอดใช้ในการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
 5. การถ่ายทอด โดยการนำภูมิปัญญาที่ผ่านมาเลือกสรรกลั่นกรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบและรอบด้าน แล้วไปถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คุณประโยชน์และปฎิบัติได้อย่างเหมาะสม โดยผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ
ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เป็นคำที่ใช้เรียกรวมกัน หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมยึดถือปฎิบัติสืบต่อๆกันมานาน มีคุณค่าทางชีวิต มักแฝงไปด้วยศีลธรรมจรรยา ความคิด ความเชื่อ เช่น การทีมารยาทไทย การปฎิบัติตนอย่างถูกกาลเทศะ รวมถึงการมีประเพณี ต่างๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติไทย  ขนบธรรมเนียมแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่                                                  
     1.  ขนบธรรมเนียมประเพณีส่วนบุคคลหรือประเพณีครอบครัว   เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโดยเฉพาะ เช่น ประเพณีการเกิด   ประเพณีเกี่ยวกับการศึกษา ประเพณีการบวช ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีการตาย

เรื่องที่2 ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อเเผ่

  • ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่


    • ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยวัตถุสิ่งของโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ การสร้างถนนหนทาง สร้างสะพาน สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นต้น เพื่อให้คนหมู่มากใช้สอยร่วมกัน
    • ความมีน้ำใจยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยไม่หวงแหน แนะนำหลักการดำเนินชีวิต โดยอาศัยหลักธรรมและประสบการณ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ การเสียสละสุขและผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อสุขและประโยชน์ส่วนรวม การเสียสละสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เล็กน้อย เพื่อประโยชน์ที่มาก กว่า เป็นการสละกิเลสออกจากใจ
    • ระลึกถึงการเสียสละที่ผ่านมา เป็นอารมณ์แห่งกรรมฐาน เมื่อได้ปฏิบัติธรรม จะอุดหนุนใจให้เบิกบาน เกิดปีติเอิบอิ่ม ต่อจากนั้นจะเกิดความสงบกายสงบใจ มีใจตั้งมั่นแน่วแน่ ทำให้ประกอบหน้าที่การงานได้ผลดี
    • เมื่อระลึกถึงการเสียสละของตนอยู่เป็นนิตย์ว่า เป็นลาภของเราแท้ เราได้ปฏิบัติดีแล้ว คนอื่นถูกความตระหนี่รุมเร้าเผาใจอยู่ แต่เรามิได้เป็นเช่นเขา มีใจปราศจากความตระหนี่ มีอัธยาศัยยินดีในการเสียสละ ใครต้องการขอ เราพอใจในการให้และการแบ่งปันกัน เมื่อระลึกอยู่อย่างนี้ จิตจะไม่ถูกราคะ โทสะ และโมหะรุกรานรังแก
    • ความมีน้ำใจมีอานิสงส์กำจัดความตระหนี่หวงแหน ความคิดกีดกันไม่ให้ผู้อื่นได้ดี เมื่อกำจัดความตระหนี่ได้อย่างนี้ ย่อมมีผลทำให้ตัวเราเอง มีจิตใจปลอดโปร่ง ไม่เคียดแค้น
    • ความมีน้ำใจ การเสียสละ เป็นบารมีธรรมของผู้มีอัธยาศัยเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบารมีธรรมนี้ เป็นหลักที่ทำให้บุคคลมุ่งมั่นในการทำความดี แม้จะประสบปัญหาอุปสรรคมากมาย จะไม่หวั่นไหว มีจิตใจเสียสละ เอื้อเฟื้อด้วยวัตถุสิ่งของและสละความไม่พอใจกัน ความขัดเคืองใจต่อกันออกไปจากจิตใจ จึงทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสงบสุข
    • โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำทุกระดับชั้น ต้องการเป็นผู้นำมากกว่าผู้นำโดยทั่วไป แต่การจะเป็นผู้นำในหน้าที่การงาน และครองใจผู้ตามได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากคุณสมบัติเฉพาะตัวคือมีความรู้ มีความสามารถเป็นที่ยอมรับแล้ว ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเสียสละที่ประกอบด้วยเหตุผลสมบูรณ์ ไม่ใช่การเสียสละให้โดยปราศจากเหตุผล นี่เองที่เป็นจุดเด่นสำคัญ ที่ทำให้ผู้นำทุกระดับชั้น สามารถบริหารจัดการงานและบุคลากรในองค์กรและขับเคลื่อนเพื่อให้เป็นผลสำเร็จตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้
    • คงเคยได้ยินคำชื่นชมผู้นำบางคน ซึ่งมีน้ำใจให้ผู้ตาม หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้ทุ่มเททำงานแบบมอบกายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว


เรื่องที่1มารยาทไทย

                       
                   เรื่องที่ ๑ มารยาทไทย
   
 มารยาทไทย เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นพฤติกรรมที่คนไทยปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ อ่อนน้อม สุภาพ เรียบร้อย และถูกต้องตามกาลเทศะไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเคารพ การสนทนา การแต่งกาย รวมถึงการปฏิบัติอื่นๆ ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติตามมารยาทไทยได้อย่างถูกต้องย่อมแสดงถึงการมีสมบัติผู้ดี และย่อมได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไป เพราะเป็นผู้รู้จักปฏิบัติและวางตัวได้เหมาะ-สม
    
๑. มารยาทในการแสดงความเคารพ
    การแสดงความเคารพ เป้นการแสดงออกถึการให้เกียรตอและความอ่อนน้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญต่อการเคารพ การแสดงความเคารพตามารยาทไทยมีหลายลักษณะ เช่น การไหว้ การกราบ การคำนับ ทั้งนี้ขึ้นอยู๋กับ โอกาส สถานที่ และระดับอาวุโสของผู้ที่เราแสดงความเคารพ ดังนั้น เราจะต้องปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
    ๑.๑ การแสดงความเคารพในการกราบ
    การกราบเป็นการแสดงความความเคารพผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอาวุโสมาก หรือผู้ที่เราให้ความเคารพนับถืออย่างสูง ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้รับอย่างสูงสุด โดยการกราบมีระดับที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับบุคคลที่เรากราบ

    การกราบบุคคลทั่วไป
เป็นการกราบบุคคลทั่วไปที่มีอาวุโสมากกว่าเรา ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
  • นั่งพับเพียบต่อหน้าผู้ที่เราจะกราบ เก็บปลายเท้าให้เรียบร้อย
  • ค่อยๆ ค้อมตัวหมอบลงกับพื้น
  • วางแขนท่อนล้างทั้งสองข้างกราบไปกับพื้น
  • ประนมมือตั้งบนพื้นแบบไม่แบมือ
  • ค่อยๆ ก้มศีรษะโดยให้หน้าผากแตะสันมือ
  • กราบเพียงครั้งเดียวไม่แบมือ
  • ทรงตัวขึ้นกลับเข้าสู่ท่านั่งพับเพียบอย่างสงบ
  
  การกราบผู้มีอาวุโส
เป็นการกราบพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และผู้ที่เราให้ความเคารพ ซึ่งมีวิธีธีการปฏิบัติ ดังนี้
  • นั่งพับเพียบต่อหน้าผู้ที่เราจะกราบ เก็บปลายเท้าให้เรียบร้อย
  • ค่อยๆ ค้อมตัวลงหมอบลงกับพื้น
  • ทอดแขนและมือทั้งสองข้างราบไปกับพื้น
  • ประนมมือตั้งบนพื้นแบบไม่แบมือ
  • ค่อยๆ ก้มศีรษะโดยให้หน้าผากแตะส่วนบนของมือ
  • กราบเพียงครั้งเดียวไม่แบมือ
  • ทรงตัวขี้นกลับสู่ท่านั่งพับเพียบอย่างสงบ
        ๑.๒ การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการแสดงความเคารพ
    เมื่อเราแสดงความเคารพตามมารยาทไทยได้ถูกต้องแล้ว เราก็ควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อให้คนทั่วไปในสังคมเห็นความสำคัญ และสามารถแสดงความเคารพต่อกันได้อย่างเหมาะสม การเป็นแบบอย่างที่ดีในการแสดงความเคารพ ทำได้ ดังนี้
    ๑. แสดงความเคารพผู้อื่นทุกครั้งเมื่อพบเจอกัน
    ๒. แสดงความเคารพโดยปฏิบัติได้ถูกต้องตามแบบแผนมารยาทไทย
    ๓. แสดงความเคารพให้เหมาะสมกับโอกาส สถานที่ และกาลเทศะ
    ๔. แสดงความเคารพด้วยวิธีต่างๆ อยู่เสมอจนเป็นนิสัย
        ๑.๓ การมีส่วนและแนะนำผู้อื่นให้อนุกรักษ์การแสดงความเคารพ
    แนวทางที่จะช่วยอนุรักษ์การแสดงความเคารพตามมารยาทไทย ทำได้ ดังนี้
    ๑. บอกเล่าถึงความสำคัญของการแสดงความเคารพตามมารยาทไทยให้คนทั่วไปรับทราบ และนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง
    ๒. บอกเล่าถึงความภาคภูมิใจในการแสดงความเคารพให้คนรอบข้างรับฟัง
    ๓. แนะนำวิธีการแสดงความเคารพที่ถูกต้อง
    ๔.  เผยแพร่ความรู้ในการแสดงความเคารพตามมารยาทไทยผ่าสื่อต่างๆ
    ๕. เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมการอนุรักษ์มารยาทไทยในการแสดงความเคารพรวมถึงชักชวนบุคคลรอบข้างให้เข้าร่วมกิจกรมมด้วย
    
๒. มารยาทในการสนทนา
    การสนทนา เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะเราต้องการติดต่อสื่อสารกับคนรอบข้างเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ การสนทนาที่ดีนั้น จะต้องคำนึงถึงมารยาทในการสนทนาเป้นสำคัญ เพราะจะช่วยในการสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่น ช่วยสร้างความรู้สึกอันดีต่อกัน และเป้นการแสดงถึงการให้เกียรติคู่สนทนา
    ๒.๑ มารยาทในการสนทนาที่ถูกต้อง
การปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนา สามารถทำได้ ดังนี้
  • เริ่มบทสนทนาด้วยการกล่าวคำทักทายที่สุภาพ
  • ใช้ภาษาสุภาพในการสนทนาทุกครั้ง
  • พูดในสิ่งที่เป็นความจริง มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์
  • พูดสนทนากันโดยอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล
  • เปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้สนทนาแสดงความคิดเห็นบ้าง
  • ใช้น้ำเสียงในการพูดไม่ดังหรือเบาเกินไป
  • เปิดใจรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นอย่างไม่มีอคติ
  • ไม่พูดสอดแทรกในขณะที่คู่สนทนากำลังพูดอยู่
  • ไม่พูดนินทา หรือพูดในสิ่งที่ทำให้คู่สนทนาเสียความรู้สึก
    ๒.๒ การมีส่วนร่วมและแนะนำผู้อื่นในการสนทนาอย่างเหมาะสม
        เมื่อเราปฏิบัติตนเป็นผู้มรมารยาทในการสนทนาได้อย่างถูกต้องแล้วควรแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติตามด้วยวิธีการที่เหมาะสม ดังนี้
  • บอกเล่าผลดีที่เกิดจากการเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนา
  • แนะนำผู้อื่นให้เป้นผู้ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนาที่ถูกต้อง
  • บอกเล่าประสบการณ์ของตนเองในการมีมารายาทในการสนทนาให้ผู้อื่นฟัง
  • เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมมารยาทการสนทนาอย่างสม่ำเสมอ
  • เผยแพร่ข้อมุลที่เป็นประโยชนืในเรื่องมารยาทในการสนทนาให้สังคมได้รับทราบ
  
  ๓.มารยาทในการแต่งกาย
        การแต่งกาย เป็นสิ่งที่แสดงถึงบุคลิกภาพของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นสิ่งที่สามารถมามองเห็นได้เป็นลำดับแรก ผู้ที่แต่งกายได้ถูกต้องตามมารยาทย่อมได้รับการยอมรับจากคนในสังคมเพราะแสดงถึงการเป็นผู้มีความเคารพต่อบุคคลและสถานที่ รวมถึงความน่าเชื่อถือ
    ๓.๑ มารยาทในการแต่งกายที่ถูกต้อง
        การแต่งกายไปยังสถานที่ต่างๆ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับโอกาส บุคคลที่ต้องพบเจอกิจกรรมที่ทำ ถือเป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่ง การแต่งกายที่ถูกต้องสามารถทำได้ดังนี้
    ๑. แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด
        เราควรดูแลเสื้อผ้าของเราให้สะอาดมีสภาพดีอยุ่เสมอ หากพบร่องรอยชำรุดก็ควนซ็อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม ทั้งนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง แต่ควรเป็นชุดที่ดูดี เรียบร้อย
     ๒. แต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาส
         เราต้องพิจารณาว่างานที่เราไปเข้าร่วมนั้นมีลักษณะอย่างไร เช่น เมื่อเราต้องไปในงานแต่งงานซึ่งถือเป็นงานมงคล เราก็ควรแต่งกายด้วยชุดสุภาพ ไม่ใส่ชุดสีเข้ม เพื่อเป็นการใหเ้เกียรติและแสดงความยินดีต่อเจ้าของงาน หรือถ้าหากไปร่วมงานศพ ก็ไม่ควรแต่งการด้วยชุดสีฉูดฉาด ควรแต่งการด้วยชุดไว้ทุกข์ สีดำ หรือสีขาว
     ๓. แต่งกายให้เหมาะสมกับสถานที่
          ก่อนการแต่งกายทุกครั้ง เราควรคำนึงถึงสถานที่ที่จะไป เช่น หากไปทำทำบุญที่วัด ก็ควรแต่งกายด้วยชุดสุภาพเรียบร้อย มิดชิด เพื่อความเหมาะสมและแสดงความเคารพต่อศาสนสถาน
      ๔. แต่งกายให้เหมาะสมกับวัยของตนเอง
           การแต่งกายที่ดี จะต้องมีความเหมาะสมกับวัยของตนเอง เช่น วัยเด็กควรสวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส วัยรุ่นก้สามารถแต่งตัวตามสมัยนิยมได้แต่ไม่ล่อแหลมมากเกินไป ส่วนวับทำงานก็ควรแต่งกายด้วยชุดที่ดูดี สุภาพ เรียบร้อย มีความภูมิฐาน
        ๓.๒ การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการแต่งกาย
            การเป็นแบบอย่างที่ดีในการแต่งกาย เป็นการช่วยเสริมมารยาทแต่งกายแก่ผู้อื่นในทางหนึ่ง ซึ่งเราสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้
              
     การเป็นแบบอย่างที่ดีในการแต่งกาย
การแต่งกายในชุดนักเรียน
    ชุดนักเรียน เป็นเครื่องแบบที่มีเกียจติและสวยงาม เราจึงควรภาคภูมิใจเมื่อได้สวมใส่ และควรแต่งชุดนักเรียนให้ถูกต้องตามระเบียบ ดังนี้
  • เสื้อ กระโปรง หรือกางเกง ต้องมีสีหรือ ความยาวตามที่โรงเรียนกำหนด
  • ไม่ใส่เครื่องประดับที่มีแวววาวหรือตามกระแสแฟชั่น
การแต่งกายในชุดลำลอง
    ชุดลำลอง แม้จะใช้สวมใส่ในโอกาสส่วนตัว เช่น ไปเที่ยงพักผ่อนหย่อนใจ ก็ควรเลือกแต่งกายให้เหมาะสม ดังนี้
  • เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย
  • ควรเป็นชุดที่มีความคล่องตัว
  • ไม่สวมใส่ชุดที่มีความล่อแหลมมากเกินไป
  • เสื้อผ้ามีความสะอาดเรียบร้อย
        ๓.๓ การมีส่วนร่วมแนะนำผู้อื่นให้อนุรักษ์มารยาทการแต่งกาย
            การมีส่วนร่วมและแนะนำผู้อื่นให้อนุรักษ์มารยาทการแต่งกาย ทำได้ ดังนี้
๑. ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับมารยาทการแต่งกายที่ถูกต้องในโอกาสต่างๆ
๒. แต่งกายให้ถูกต้องตามมารยาท เหมาะสมกับกาลเทศะ โอกาส สถานที่อยู่เสมอจนเป็นนิสัย
๓. อธิบายถึงความสำคัญของการมีมารยาทในการแต่งกาย และผลที่เิกดจากการแต่งกายอย่างเหมาะสมให้ผู้อื่นได้รับทราบ
๔. แนะนำวิธีการแต่งกายที่เหมาะสม ถูกต้องตามมารยาทให้คนทั่วไปได้นำไปปฏิบัติ
๕. เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการแต่งกายโดยใช้สื่อต่างๆ อย่างเหมาะสม

    ๔. การมีสัมมาคารวะ
        สัมมาคารวะ เป็นการแสดงออกทั้งทางด้านกาย วาจาและใจ อย่างสุภาพอ่อนโยน และความเคารพต่อผู้อื่น ซึ่งถือเป็นมารยาทที่คนไทยสำคัญที่คนไทยควรยึดถือปฏิบัติต่อกัน เพราะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความดีงามตามวิถีไทยที่สืบทอดกันมาช้านาน ผู้ที่มีสัมมาคารวะ ย่อมเป็นที่รักของบุคคลรอบข้าง
    ๔.๑ ลักษณะของผู้ที่มีสัมมาคารวะ
            ผู้ที่ถือได้ว่าปฏิบัติตนอย่างมีสัมมาคารวะ ย่อมมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ความเคารพผู้อื่น
    เป็นผู้รู้ที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีอาวุโส จะต้องมีความนับถือและเชื่อฟังคำสั่งสอน เพื่อนำมาเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิต
๒. มีกริยามารยาทเรียบร้อย
    ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือสนทนา ก็ทำอย่างสุภาพตามมารยาทไทย มีความสำรวมทั้งกาย วาจา และใจอยู่เสมอทัั้งต่อหน้าและลับหลัง
๓. พูดจาสุภาพ
    ใช้ถ้อยคำในการพูดสนทนาด้วยภาาาสุภาพ มีน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่ใช้คำหยาบ หรือให้ร้าย ดูมิ่นผู้อื่น สร้างบรรยากาศที่ดีในการสนทนาอยู่เสมอ
๔. อ่อนน้อมถ่อมตน
    ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ ให้เกียรติ ไม่ยึดเอาตนเป็นใหญ่
        ๔.๒ การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของการมีสัมมาคารวะ
            เราควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นในการปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะ ดังนี้
๑. ปฏิบัติตนด้วยความอ่อนน้อม
        โดยกระทำให้เป็นนิสัยเคยชินอยู่เสมอ  เพื่อให้ผู็อื่นเห็นเป็นตัวอย่างและสามารถนำไปปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
๒. มีสัมมาคารวะ
        ปฏิบัติต่อผู้ิื่นด้วยความเคารพ ทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีความจริงใจต่อผู้อื่น
๓. ปฏิบัติตนด้วยความอ่อนน้อม
        มีความเคารพนอบต่อผู้อื่น โยเฉพาะผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า
๔.ปฏิบัติตนอย่างสุภาพ
        มีกิริยามารยาทสำรวม คอยระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับผู้อื่น
        ๔.๓ การมีส่วนร่วมและแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติตนมีสัมมาคารวะ
 เราสามรถแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะได้ ดังนี้
    ๑. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
        แสดงออกถึงความเป็นผู้มีสัมมาคารวะด้วยวิธีต่างๆ  อย่างเปิดเผยและภาคภูมิใจ เพื่อให้ผู้อื่นได้เห็นและนำเอาไปปฏิบัติตาม
    ๒. บอกเล่าถึงความสำคัญ
        อธิบายความสำคัญและผลดีที่เกิดจากการปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะให้ผู้อื่นรับทราบเพื่อเิกดการนำไปปฏิบัติโดยทั่วกัน
    ๓. ชักชวนผู้อื่นให้ปฏิบัติตนอย่างมีสัมมาคารวะ
        พูดชักชวนบุคคลทั่วไปให้ร่วมกันปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีสัมมาคารวะ โดยอาจเริ่มจากบุคคลที่อยู่ใกล้ตัว เช่น เพื่อนในโรงเรียน
    ๔. แนะนำการปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะ
        อธิบายวิธีการปฏิบัติตน เป็นผู้มีสัมาคารวะในลักษณะต่างๆ โดยอาจยกตัวอย่างสถานการณ์และบอกวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
    ๕. เผยแพร่ความรู้เรื่องการมีสัมมาคารวะ
        ศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะอย่างถูกต้องแล้วนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นโดยใช้วิธีต่างๆ อย่างเหมาะสม
    ๖. เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการมีสัมมาคารวะ
        ให้ความสนใจโดยเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะ รวมถึงชักชวนผู้อื่นให้เข้าร่วมด้วย